ค้นหาตามอักษร | ก | ข | ฃ | ค | ฅ | ฆ | ง | จ | ฉ | ช | ซ | ฌ | ญ | ฎ | ฏ | ฐ | ฑ | ฒ | ณ | ด | ต | ถ | ท | ธ | น | บ | ป | ผ | ฝ | พ | ฟ | ภ | ม | ย | ร | ล | ว | ศ | ษ | ส | ห | ฬ | อ | ฮ |
ชื่อ | หมัน | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Cordia cochinchinensis Pierre | |
ลักษณะสำคัญ | เปลือกต้นสีเทาคล้ำใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่ | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | - | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | หว้า | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Syzygium Cumini | |
ลักษณะสำคัญ | ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามแผ่นใบรูปรีหรือรูปไข่กลับ | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ต้มน้ำดื่มแก้บิด อมแก้ปากเปื้อยคอเปื่อย | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | เหลืองปรีดิยาธร | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Tabebuia argentea Britt. | |
ลักษณะสำคัญ | ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-8 เมตร ผลัดใบ ใบประกอบรูปนิ้วมือ เรียงตรงข้าม ใบย่อย 4-7 ใบ รูปรีแกมรูปขอบขนาน แผ่นใบหนา คล้ายหนัง สีเขียวเหลือบเงิน โคนและปลายใบมน ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเหลือง เชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลือง เชื่อมติดกันเป็นหลอด รูปแตร ผลเป็นผลแห้งแตก สีเทา เมล็ดแบน มีปีก จำนวนมาก | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ปลูกเป็นไม้ประดับ | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | หน้าวัว | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Anthurium spp. | |
ลักษณะสำคัญ | หน้าวัวเป็นไม้ค่อนข้างไปทางไม้เลื้อย เนื่ออ่อนการเจริญมีลักษณะเป็นกอต้นจะโตสูงทิ้งใบล่าง สูงได้ 80-100 ซม.ใบมีลักษณะเป็นรูปร่างต่าง ๆกัน แต่ส่วนมากมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ใบของหน้าวัวบางชนิดมีใบสวยงามมาก ลักษณะคล้ายกำมะหยี่ละเอียดเป็นมัน ปลายใบแหลม บริเวณใต้ใบเส้นใบนูนเป็นสันขึ้นมา ต้นหนึ่งมีใบ4-8 ใบ เมื่อมีใบใหม่จะมีดอกเกิดขึ้นตามมาเสมอ ดอกหน้าวัวเกิดจากตาที่อยู่เหนือก้านใบ โดยทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าจานรองดอกคือตัวดอก ตัวดอกที่แท้จริงนั้นมีขนาดเล็กเรียงกันอยู่บนปลีซึ่งเป็นส่วนของก้านดอก ดอกแต่ละดอกจะมีทั้งเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย แต่จะบานไม่พร้อมกัน เกสรตัวเมียจะบานก่อน | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ปลูกเป็นไม้ประดับ | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | หมากเขียว | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Ptychosperma macarthurii Nichols | |
ลักษณะสำคัญ | เป็นพรรณไม้ปาล์มที่ลำต้นผอม และเป็นข้อปล้องตรง ลำต้นก็เกิดจากหน่อและสูงประมาณ 10-20 ฟุต มีสีน้ำตาลอมเขียวแต่เมื่อยังอ่อนจะเป็นสีเขียว เป็นใบไม้ร่วมเช่นเดียวกับมะพร้าว ลักษณะของใบต้นหมากเขียวนี้เป็นใบขนนก ทางใบหนึ่งประกอบด้วยใบย่อยอยู่ประมาณ 40 ใบ และใบย่อยยาว 10 -15 นิ้ว ทางใบยาว 4 ฟุต ตรงโคนก้านทางใบจะเป็นกาบห่อหุ้มเอาไว้ มีเนื้อใบอ่อนและสีเขียวเข้ม ส่วนด้านใต้ใบสีเขียวอ่อน ออกดอกเป็นช่อคล้าย จั่นหมาก ขนาดของดอกเล็กมีสีเหลืองอมเขียว หรือสีขาวนวล ผลเป็นลูกกลมๆเล็ก มีสีเขียวอ่อน แต่พอแก่จะกลายเป็นสีแดง สดผลๆหนึ่งจะมีเมล็ดอยู่ภายในเมล็ดหนึ่ง เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจัดและจะเจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ต้องการน้ำปานกลาง และทนต่อทุกสภาพสิ่งแวดล้อม | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ปลูกเป็นไม้ประดับ | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | หมากนวล | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Veitchia merrillii (Becc.) H.E. Moore | |
ลักษณะสำคัญ | เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงได้ถึง 15 เมตร ลำต้นสีน้ำตาล ใบรูปขนนก ช่อดอกสีขาวออกใต้คอ ผลกลม หมากนวลเป็นพรรณไม้ยืนต้นประเภทปาล์มมีทรงพุ่มขนาดกลางลำต้นมีความสูงประมาณ 5-10 เมตรการเจริญเป็นลำต้นเดี่ยวไม่มีหน่อ ลำต้นตรงสูง ผิวลำต้นสีน้ำตาลปนเทา ลำต้นเป็นข้อปล้องเห็นได้ชัด ใบเป็นใบรวม แตกออกจากทางใบเป็นรูปขนตก เรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบลักษณะใบแคบยาว ขนาดใบมีความกว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 50 - 60 เซนติเมตรตัวใบมีสีเขียวเรียบเป็นมันทางใบยาวประมาณ 1-2 เมตรลักษณะโค้งเล็กน้อยโคนทางจะเป็นกาบหุ้มลำต้นมีสีเขียวอ่อนปนขาวนวลออกดอกเป็นช่อคล้ายจั่นหมากก้านดอกมีสีขาวนวลลักษณะของดอกมีขนาดเล็กรวมกันอยู่เป็นจำนวนมากมีสีขาวอมเหลือง ผลเล็กกลมรีมีสีเขียวอ่อน เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ภายในผลมีเมล็ดอยู่เพียงเมล็ดเดียว | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ผล สรรพคุณทางยา ผลของหมากนั้นมีสรรพคุณในการช่วยขับพยาธิได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นพยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ พยาธิตัวกลม เป็นต้น นอกจากนี้แล้วหมากก็ยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคมาเลเรีย และมีฤทธิ์ในด้านการเป็นยาที่ช่วยขับปัสสาวะอีกด้วย จากการวิจัยพบว่า หมากมีสารชื่อ อัลคาลอยด์ ที่มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อราและฆ่าเชื้อไวรัสอีกด้วย - ผล ทาง ตำรับยาแผนโบราณ หากนำเอาเนื้อของผลหมากและเมล็ดฟักทองมาต้มรวมกับน้ำตาลทราย ดื่มพร้อมกันน้ำก็จะช่วยในการขับพยาธิชนิดต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี หรือหากจะเอาผลหมากสุกมาต้มกินกับน้ำแล้ว จะช่วยป้องกันอาการของโรคต้อหินหรือความดันภายในลูกตาเพื่อไม่ให้สูงผิดปกติได้ | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | หอมเจ็ดชั้น | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Tarenna wallichii (Hook.f.) Ridl. | |
ลักษณะสำคัญ | เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ชอบปริมาณแสงแดดตลอดวัน ไม่ผลัดใบ ออกดอกในช่วงหน้าหนาว ดอกมีกลิ่นหอม การเจริญเติบโตช้า | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | เป็นไม้ประดับ | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | หางกระรอกแดง | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Acalypha hispida Burm.f. | |
ลักษณะสำคัญ | ไม้พุ่ม สูง 1-3 ม. - ใบ ใบเรียงสลับ ใบเดี่ยว รูปไข่ กว้าง 7-15 ซม. ยาว 15-20 ซม. โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบหยักฟันเลื่อย ผิวใบมีขน หลังใบสีเขียวอมน้ำตาล ท้องใบสีอ่อนกว่า มีหูใบแบบ - ดอก ดอกช่อสีแดงออกที่ซอกใบ ดอกแยกเพศ ช่อดอกเพศเมียห้อยลงคล้ายหางกระรอก ยาว 15-20 ซม. ดอกย่อยจำนวนมาก ไม่มีกลีบดอก มีแต่รังไข่และยอดเกสรเพศเมียที่เป็นพู่ห้อยลง - ผล ผลขนาดเล็ก เมื่อแก่แตกได้ | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ราก แก้พิษงูกัด เปลือก ขับเสมหะ แก้หืด ใบ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||