ค้นหาตามอักษร | ก | ข | ฃ | ค | ฅ | ฆ | ง | จ | ฉ | ช | ซ | ฌ | ญ | ฎ | ฏ | ฐ | ฑ | ฒ | ณ | ด | ต | ถ | ท | ธ | น | บ | ป | ผ | ฝ | พ | ฟ | ภ | ม | ย | ร | ล | ว | ศ | ษ | ส | ห | ฬ | อ | ฮ |
ชื่อ | สีเสียดแก่น | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Acacia catechu Willd | |
ลักษณะสำคัญ | เรือนยอดโปร่งลำต้นและกิ่งมีหนามแหลมโค้งทั่วไป | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | แก้โรคท้องร่วง บิด แก้อ | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | เสลา | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Lagerstroemia loudonii Teijsm. & Binn | |
ลักษณะสำคัญ | เรือนยอดกลมทึบ กิ่งห้อยลง ใบเป็นใบเดี่ยว | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | - | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สาธร | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Millettia leucantha Kurz | |
ลักษณะสำคัญ | เรือนยอดเป็นพุ่มทึบค่อนข้างกลมหรือทรงกระบอก | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | - | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สุพรรณิการ์ | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Cochlospermum | |
ลักษณะสำคัญ | เป็นต้นไม้ผลัดใบสูง 7-15 เมตร กิ่งก้านคดงอ ใบรูปหัวใจ แผ่นใบแยกเป็น 5 แฉก | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | เป็นยาบำรุงกำลัง | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สารภี | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Mammea siamensis | |
ลักษณะสำคัญ | ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบมียางสีขาว ใบเป็นใบเดียวเรียงตรงข้าม | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | เป็นยาแก้ร้อนใน บำรุงปอด บำรุงหัวใจ | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | โสกเหลือง (ศรียะลา) | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Saraca thaipingensis Cantley ex King | |
ลักษณะสำคัญ | ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก แผ่นใบรูปไข่ หรือรูปหอกแกมขอบขนาน ปลายแหลมหรือเรียวแหลม | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ||
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สารภีทะเล | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Calophyllum inophyllum L. | |
ลักษณะสำคัญ | ไม้ต้น สูง 8-20 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ไม่เป็นระเบียบ ลำต้นค่อนข้างสั้น และมักบิดแตกเป็นกิ่งใหญ่ๆ จำนวนมากทั้งในแนวตั้งและแนวนอน หรือห้อยลง เปลือกเรียบสีน้ำตาลปนเทา หรือค่อนข้างดำ ลำต้นแก่จะแตกเป็นร่อง ภายในมีน้ำยางมากสีเหลืองใส แก่นไม้สีน้ำตาลอมแดง ตายอดเป็นรูปกรวยคว่ำ มีขนสีน้ำตาลปนแดงประปราย ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปรีถึงไข่กลับ กว้าง 4.5-8 เซนติเมตร ยาว 8-15 เซนติเมตร ปลายใบมนกว้าง และมักหยักเว้าตรงกลางเล็กน้อย โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนา เกลี้ยง หลังใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบเรียบสีอ่อนกว่า เส้นใบมองเห็นไม่ชัดเจน มีเส้นใบถี่มาก และขนานกัน ก้านใบยาว 1-2 เซนติเมตร ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อตามง่ามใบ และปลายกิ่ง ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ ยาว 2.7-10 มิลลิเมตร ชั้นนอกรูปร่างกลม ค่อนข้างหนา เกลี้ยง ชั้นในรูปไข่กลับ คล้ายกลีบดอก กลีบดอกมี 4 กลีบ กว้าง 7-8 มิลลิเมตร ยาว 9-12 มิลลิเมตร รูปไข่กลับ หรือรูปช้อน ขอบงอ เกสรเพศผู้สีเหลืองมีจำนวนมาก รังไข่ค่อนข้างกลม สีชมพู ก้านเกสรเพศเมียยาว ผล ค่อนข้างกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5-3 เซนติเมตร ปลายเป็นติ่งแหลม ผิวเรียบ สีเขียว เปลือกค่อนข้างหนา ผลสดสีเขียว เมื่อสุกมีสีแดงอมส้ม เมล็ดเดี่ยว มักขึ้นตามป่าใกล้ชายทะเล ป่าดงดิบ พบมากทางภาคใต้ | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ตำรายาไทย ใช้ ดอก รสหอมเย็น เข้ายาบำรุงหัวใจ ปรุงยาหอม ราก เป็นยาใช้ล้างแผล เปลือกต้น ทำยาต้มเป็นยาขับปัสสาวะในโรคหนองใน ทาภายนอกแก้บวม ต้นและเปลือกต้น ให้ยางใช้สำหรับทาแผล เป็นยาฝาดสมานพอกทรวงอกแก้วัณโรคปอด กินจะทำให้อาเจียน เป็นยาระบาย ใช้แต่งกลิ่น ขับปัสสาวะ ใช้ภายนอกสำหรับล้างแผลอักเสบเรื้อรัง ใบ รสเมาเย็น แก้ตาแดง ตาฝ้า ตามัว ใบใช้เบื่อปลา ถ้านำมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืนจะได้น้ำที่มีสีน้ำเงิน น้ำคั้นจากใบเป็นยาฝาดสมานภายนอกใช้กับโรคริดสีดวงทวาร เมล็ด ให้น้ำมันและยางอยู่รวมกัน แยกน้ำมันออกมาใช้ทาถูนวดแก้ปวดข้อ เคล็ดขัดยอก บวม สมานแผล แก้ผื่นคัน แก้โรคผิวหนัง แก้เหา แก้หิด กลาก น้ำมันจากเมล็ดทำให้บริสุทธิ์ กินแก้โรคหนองใน ทั้งต้น รสเมา ใช้เบื่อปลา | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สนสามใบ | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Pinus kesiya Royle ex Gordon | |
ลักษณะสำคัญ | เป็นไม้ยืนต้นสูง 10–30 เมตร ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกสีน้ำตาลอมชมพูอ่อนล่อนเป็นสะเก็ด มียางสีเหลืองซึมออกมาตามรอยแตก ใบเป็นใบเดี่ยว ติดกันเป็นกลุ่มละ 3 ใบ ออกเป็นกระจุกเวียนสลับถี่ตามปลายกิ่ง ออกดอกเป็นช่อ แยกเพศ ช่อดอกเพศผู้สีเหลือง ติดกันเป็นกลุ่มใกล้ปลายกิ่ง ออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม ผลออกรวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่า Cone (โคน) รูปไข่ สีน้ำตาล มีเมล็ดจำนวนมาก | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ยาง กลั่นเป็น้ำมัน และชันน้ำมันใช้ผสมยาถูนวด แก้ปวดเมื้อยชันผสมยารักษาโรค แก่น ต้มน้ำดื่ม รักษาฌรคทางเดินปัสสาวะ แก้เหงือกบวมแก้บิดท้องร่วง ปวดท้อง ผสมสมุนไพรอื่น ต้มอบไอน้ำ ช่วยบำรังกำลัง สำหรับคนติดฝิ่น | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สะเดาเทียม | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Azadirachta excelsa (Jack) Jacobs | |
ลักษณะสำคัญ | เป็นไม้ยืนต้นสูงตรงไม่มีกิ่งขนาดใหญ่ เมื่ออายุน้อยเปลือกต้นเรียบ เมื่ออายุมากเปลือกจะแตกเป็นแผ่นล่อนสีเทาปนดำ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ ใบเป็นใบประกอบ ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อย ใบเบี้ยวไม่ได้สัดส่วน ปลายใบแหลมเป็นติ่ง ฐานใบเบี้ยวไม่เท่ากัน เนื้อใบหนา เกลี้ยง สีเขียวเป็นมัน ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบหรือปลายกิ่ง ดอกบานสีขาว ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม ผลทรงกลมรี ผลแก่สีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | เปลือก ต้มทำยาแก้บิด หรือท้องร่วง ดอกอ่อนนำมารับประทานเป็นผักได้ | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สัตบรรณ | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Alstonia scholaris | |
ลักษณะสำคัญ | สัตบรรณ เป็นไม้ยืนต้น สูงถึง 30 เมตร เปลือกต้นสีเทา มียางขาวมาก กิ่งแตกออกรอบข้อ ใบเดี่ยว เรียงรอบข้อๆ ละ 6-9 ใบ รูปขอบขนานแกมใบหอกกลับหรือรูปไข่กลับ กว้าง 2-6 ซม. ยาว 5-18 ซม. ปลายทู่กลม หรือเว้าเล็กน้อย ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาว แกมเหลือง ผลเป็นฝักออกเป็นคู่ รูปกลมยาว | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | เปลือกต้น ใช้แก้ไข้หวัด หลอดลมอักเสบ แก้บิด สมานลำไส้ การทดลองในสัตว์พบว่า สารสกัดจากเปลือกต้น มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด รักษาแผลเรื้อรัง และต้านเชื้อแบคทีเรียบางชนิด | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สัก | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Tectona grandis Linn. | |
ลักษณะสำคัญ | เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูงถึง 50 เมตร โตเร็ว ผลัดใบในฤดูร้อน ส่วนที่ยังอ่อนมีขน เปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กๆ สีเทา ใบเป็นใบเดี่ยวมีขนาดใหญ่มาก เรียงตรงข้าม รูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมน เนื้อใบสากคาย สีเขียวเข้ม ท้องใบสีอ่อนกว่า มีต่อมเล็กๆ สีแดง ดอกเป็นช่อใหญ่ ออกที่ปลายกิ่งและซอกใบบริเวณปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาวเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ออกดอกเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ผลเป็นผลสดค่อนข้างกลม มีขนละเอียดหนาแน่น กลีบเลี้ยงขยายตัวหุ้มผลไว้ด้านใน | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ||
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สะเดา | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | ||
ลักษณะสำคัญ | ||
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ||
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สิรินธรวัลลี | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | ||
ลักษณะสำคัญ | ||
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ||
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | ส้านชะวา | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Dillenia suffruticosa (Griff.) Martelli | |
ลักษณะสำคัญ | ส้านชะวาเป็นไม้ต้น สูงได้ถึง ๑๐ เมตร เปลือกสีม่วงดำ ใบ ใบเดี่ยวออกสลับ รูปรีจนถึงรูปไข่กว้าง 8 - 15 เซนติเมตร ยาว 15 -30 เซนติเมตร ปลายกลม หรือมน โคนมน มีครีบและยกตั้งดอก สีเหลือง ออกเป็นช่อที่ยอด 4 - 5 ดอก บางครั้งมีถึง 18 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปช้อนเมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 เซนติเมตร เกสรตัวผู้จำนวนมาก ผล รูปกลม แป้น กว้าง 1 - 1.5 เซนติเมตร ยาว 2 - 2.5 เซนติเมตร เมื่อสุกสีส้มหรือแดง แตกเป็น 6 แฉก เป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศบรูไนดาลุสซาลาม มีถิ่นกำเนิดแถบประเทศมาเลเซีย | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ปลูกเป็นไม้ประดับ | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สารภี | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Mammea siamensis Kosterm. | |
ลักษณะสำคัญ | สารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 10 – 15 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ เปลือกสีเทาปนดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ดตลอดลำต้น เปลือกในสีน้ำตาลแดง มียางขาวและจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน เนื้อไม้สีน้ำตาลปนแดง - ใบ เป็นใบเดี่ยว รูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน เรียงตามข้าม ขนาดกว้าง 4 – 6.5 ซม. ยาว 14 – 20 ซม. เนื้อใบหนา ปลายมนกว้าง ๆ บางทีอาจมีติ่งสั้น ๆ หรือหยักเว้าตื้น ๆ โคนใบสอบเรียว เส้นแขนงใบไม่ปรากฏแต่เห็นเส้นใบย่อยแบบเส้นร่างแหชัดทั้งสองด้าน - ดอก สีขาว ออกเป็นช่อเดี่ยว ๆ หรือเป็นกระจุกตามกิ่ง กลิ่นหอมมาก กลีบรองกลีบดอกมี 2 กลีบ กลีบบนเป็นกระพุ้ง โคนกลีบเชื่อมติดกัน กลีบดอกมีลักษณะเดียวกันแต่มี 4 กลีบ เกสรตัวผู้มีมาก รังไข่มี 2 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อน จำนวน 2 ปลาย หลอดรังไข่แยกเป็น 3 แฉก ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม และเป็นผลระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน - ผล เป็นรูปกระสวย ยาวประมาณ 2 – 5 ซม. กลีบรองกลีบดอก….เป็นกาบหุ้มที่ขั้วผล - ลักษณะเนื้อไม้ สีน้ำตาลปนแดง เสี้ยนตรง ถี่และสม่ำเสมอ เนื้อละเอียด แข็ง ค่อนข้างทนทาน เลื่อย ผ่า ไส้กบ ตบแต่งง่าย ความถ่วงจำเพาะประมาณ 0.91 | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | การนำไม้สารภีมาใช้ประโยชน์ยังมีน้อยและค่อนข้างอยู่ในวงจำกัด ส่วนใหญ่จะนำมาใช้ประโยชน์ในทางด้านการแพทย์ ประโยชน์ที่สำคัญของไม้ชนิดนี้ได้แก่ เนื้อไม้ ใช้ทำเสากระดานพื้น ฝา รอด ตง ฯลฯ ดอก ปรุงเป็นยาหอมสำหรับแก้ร้อนใน ชูกำลัง บำรุงหัวใจ บำรุงเส้นประสาท แก้ลมวิงเวียน หน้ามืดตาลาย ผล มีรสหวานรับประทานได้ | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สาละ | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Couroupita guianensis Aubl. | |
ลักษณะสำคัญ | ไม้ต้นชนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ หนาทึบ เปลือกสีน้ำตาลแกมเทา แตกเป็นร่องและสะเก็ด - ใบ (Foliage) ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ เป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง รูปขอบขนานถึงรูปใบหอกแกมรูปไข่ กว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว12-25 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบหรือมน ขอบใบจักตื้น ใบหนา - ดอก (Flower) สีชมพูอมเหลืองหรือแดง ด้านในสีม่วงอ่อนอมชมพู มีกลิ่นหอมมาก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะขนาดใหญ่ตามลำต้น ช่อดอกยาว 30-150 เซนติเมตร ปลายช่อโน้มลง กลีบดอกหนา 4-6 กลีบ กลางดอกนูน สีขนสั้นสีเหลืองคล้ายแปรง เกสรเพศผู้เป็นเส้นยาวสีชมพูแกมเหลืองจำนวนมาก ทยอยบานจากโคนไปหาปลายช่อ นานเป็นเดือน ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-10 เซนติเมตร - ผล (Fruit) ผลแห้ง ทรงกลมใหญ่ ขนาด 10-20 เซนติเมตร เปลือกเเข็ง สีน้ำตาลปนแดง ผลสุกมีกลิ่นเหม็น มีเมล็ดจำนวนมาก รูปไข่ | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | สรรพคุณด้านสมุนไพรของต้นสาละ พบว่ายาง สามารถใช้เป็นยาสมานแผล ยาห้ามเลือด ใช้แก้โรคผิวหนัง ตุ่มพุพอง โรคซิฟิลิส โกโนเรีย วัณโรค โรคท้องร่วง บิด โรคหูอักเสบ เป็นต้น ผล ใช้แก้โรคท้องเสีย ท้องร่วง เป็นต้น | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สำโรง | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Sterculia foetida L. | |
ลักษณะสำคัญ | ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลำต้นกลมตรง ใบประกอบรูปนิ้วมือ มีใบย่อยรูปหอก 5 ใบ ดอกออกเป็นช่อโต มีกลิ่นเหม็น ผลเป็นฝักแบนโต เมล็ดแข็งสีน้ำตาลดำ | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | เปลือกฝัก ปรุงเป็นยาเนาวหอย แก้โรคไตพิการ แก้ลำไส้พิการ แก้ปัสสาวะพิการ เปลือกต้น กล่อมเสมหะและอาจม แก้บิด | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||
ชื่อ | สิบสองปันนา | |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Phoenix roebelenii O'Brien | |
ลักษณะสำคัญ | สิบสองปันนาเป็นปาล์มในตระกูลอินทผาลัม เชื่อกันว่าสิบสองปันนาต้นเดิมที่เป็นปาล์มนั้น เป็นต้นอินทผาลัมที่ไม่มีหน่อ สิบสองปันนาเป็นปาล์มที่มีลำต้นเดี่ยวโดดๆ สูงประมาณ 1.8 เมตร ใบเป็นใบแบบขนนก ทางใบยาว 1 ฟุต ถึง 1.5 ฟุต โค้งงอลงด้านล่าง ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนใต้ใบจะมีสีเขียวอ่อนปนเทาคล้ายกันแป้งเคลื่อนที่อยู่ | |
สรรพคุณ/ประโยชน์ | ใช้เป็นไม้ประดับสวนทั่วไป | |
สถานที่ค้นพบ | ||
ประเภท | ||